“การทำตลาดอสังหาฯ ยุคนี้ไดนามิกส์มาก ดีเวลลอปเปอร์ต่องปรับตัวในการพัฒนาโครงการตามความถนัด หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวแทนที่จะทำตลาดเทรนด์ตลาด ขณะที่ทำเลการทำธุรกิจยังไม่ได้จำกัดเฉพาะในกรุงเทพฯอีกต่อไป แต่ขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ พัทยา ภูเก็ต หรือในโซนอีอีซี(พื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพ ”
สำหรับตลาดอสังหาฯ ในไทยมีด้วยกัน 3 ตลาดหลักได้แก่ 1. ตลาดอสังหาฯ ที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทซึ่งเป็นตลาดใหญ่2. ตลาดอสังหาฯในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส เอ็มอาร์ที และ3. ตลาดอสังหาฯในโซนอีอีซี ที่ดีเวลลอปเปอร์สามารถลงทุนดักกำลังซื้อในโซนนี้เริ่มตั้งแต่บางนา โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนในซีบีดี(ศูนย์กลางธุรกิจ)ที่มีต้นทุนที่ดินราคาแพง
ขณะเดียวกัน ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ยังหันลงทุนพัฒนาอสังหาฯประเภทมิกซ์ยูส รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านสมาร์ท โฮม มาเสริมธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์อสังหาฯ ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
“การเกิดขึ้นของมิกซ์ยูสเกิดจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจากอสังหาฯประเภทคอนโด เปลี่ยนมาเป็นมิกซ์ยูสแทน ในต่างประเทศอย่าง อินโดนีเซียมีการพัฒนาเป็นทาวน์ชิพ ที่รวมเอาโรงเรียน โรงพยาบาล เข้าไปอยู่ในพื้นที่ ซึ่งแนวโน้มโซนอีอีซี จะเป็นเช่นเดียวกัน”
นายเจสัน ยังกล่าวว่า แนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าคนไทยในการซื้ออสังหาฯเปลี่ยนไปจากเดิมที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือ เก็บเป็นทรัพย์สิน เปลี่ยนเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ปล่อยเช่าสร้างรายได้ ขณะที่ผู้ประกอบการเน้น มิกซ์ยูส เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสต็อกล้นตลาด และดึงดูดูกค้าที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ เหมือนในประเทศอินโดเนียเซีย
กรุงเทพธุรกิจ